นิพพานแบบง่ายๆ โดย พระครูสุธรรมนาถ



นิพพานแบบง่ายๆ เริ่มด้วยการทำความเข้าใจกับความหมายของนิพพานให้ตรงกันก่อน จากการที่เรารู้กันแล้วในเบื้องต้นว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมคือความจริงอันประเสริฐ 4 แล้วแสดงธรรมนั้นแก่ชนทั้งหลายว่า ทุกข์ คือ ความเกิด ความแก่ ความตาย...และทรงตรัสว่า โดยสรุป อุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นทุกข์ แสดงเหตุให้เกิดทุกข์ว่า ได้แก่ ตัณหาที่ทำให้เกิดใหม่...แสดงความดับทุกข์ ว่าได้แก่ ภาวะที่ความอยากเกิดในภพใหม่ หมดไปสิ้นไปโดยไม่มีส่วนเหลือด้วย วิราคะ...แสดงวิธีดับทุกข์ว่าได้แก่ มรรคมีองค์ประกอบ 8 ประการ...
อุปทานขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ... ปุณณมสูตร นี้คือ ทุกข์
ดูกรภิกษุ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า ในอนาคตกาล ขอเราพึงมีรูปเช่นนี้ พึงมีเวทนาเช่นนี้ พึงมีสัญญาเช่นนี้ พึงมีสังขารเช่นนี้ พึงมีวิญญาณเช่นนี้. ดูกรภิกษุ ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕...ปุณณมสูตร
ดูกรราธะ ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก ความเข้าถึง ความยึดมั่น อันเป็นที่ตั้งที่อยู่อาศัยแห่งจิต ในรูป... นี้เรากล่าวว่า กิเลสเครื่องนำไปในภพ...ภวเนตติสูตร นี้คือ เหตุให้เกิดทุกข์

สรุป
ทุกข์ = อุปทานขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เหตุให้เกิดทุกข์ = ความปรารถนาอย่างนี้ว่า ในอนาคตกาล ขอเราพึงมีขันธ์ 5 เช่นนี้  = อยากเกิดใหม่
ความดับทุกข์    = ความปรารถนาอย่างนี้ว่า ในอนาคตกาล ขอเราพึงมีขันธ์ 5 เช่นนี้ ดับไปโดยไม่เหลือ
                        = การที่ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕ ดับไปไม่เหลือจึงเป็นความดับทุกข์

วิธีดับทุกข์  = ทำให้นิพพาน  เราตั้งเป้าไปที่การละความอยากเกิดที่เกิดจากการเห็นว่าภพใหม่น่ารักน่าพอใจนั้น เพื่อที่จะทำให้ไม่ต้องเกิดชาติหน้าจะทำอย่างไร เราก็ไปดูสิว่า ความอยากเกิด เราจะเกิดเป็นอะไร ความอยากเกิดที่เราตั้งไว้ ต้องไปตั้งว่ามันจะเกิดเป็นอะไร ภพภูมิที่เราจะเป็นข้างหน้า ภพภูมิที่เราจะเป็นข้างหน้าคืออะไรหล่ะ เป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดา หรือเป็นอะไรก็เรียกว่าอุปาทานขันธ์ เรียกว่านามรูปอะไรแบบอภิธรรมก็ได้ ที่เป็นชื่ออะไร แบ่งให้ถูก แล้วก็ดูสิว่า ภาวะที่เราจะเป็น มันคืออะไร มันเกิดได้อย่างไร แล้วมันจะอยู่ต่อไปอย่างไร ถ้าสมมุติเกิดเป็นมนุษย์ เราจะอยู่อย่างไรต่อไป จะอยู่แบบดีๆ ร้ายๆ หรืออย่างไร ก็ดูที่ว่ามันอาศัยปัจจัยอะไรเป็นเครื่องอยู่ แล้วก็สะสมปัจจัยไปเกิด นี้ถ้าจะเกิดก็ต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่า ภาวะที่จะเกิดจะเป็นนั้นสภาพโดยรวมแล้วมันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย คือ มันเกิดเพราะเหตุ แปรปรวนเพราะเหตุ ดับไปเพราะหมดเหตุ รู้ไปตามจริง เหมือนที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้แหละ เมื่อเราตั้งใจว่าจะเกิดเป็นอย่างนั้นแล้ว มาดูว่า ถ้าเกิดแล้วจะตายไปไหม อันนี้เราก็จะรู้เอง รู้ตามจริงที่เรารู้อยู่ว่า เกิดแล้วก็ต้องเสื่อมไป ก็ต้องสิ้นไป ถ้าเราเห็นว่าเกิดแล้วเสื่อมไปสิ้นไป คือต้องตาย เมื่อมันเห็นว่าต้องตาย หลังจากที่เกิดเราจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าดูว่า เกิดมาก็ต้องตาย เราจะทำอย่างไรสุดท้ายมันก็ต้องตาย มันต้องแตกทำลายแน่นอน ขันธ์อันนั้นเมื่อต้องแตกทำลาย เราก็จะเห็นว่า ร่างกายจิตใจอันนั้นแหละ เป็นภัย เป็นที่ตั้งแห่งภัยที่น่ากลัว เป็นสิ่งน่ากลัว รู้แล้วก็กลัว เหมือนเรากลัวตายนั่นแหละ เมื่อเห็นว่าร่างกายจิตใจนั้นเป็นสิ่งน่ากลัว มันก็จะเกิดความรู้อันหนึ่งว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้ทำอะไรให้เรานอกจากความกลัวและความทุกข์ ถ้าต้องเวียนเกิดอย่างนี้เรื่อยๆก็จะรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ เราก็จะเกิดภาวะไม่ปลื้มใจ จิตเกิดอาการเบื่อ เหมือนกับเราเบื่ออะไรสักอย่างในสถานะการปัจจุบัน เบื่อความเป็นอย่างนี้ คนไม่สบายก็เบื่อ คนจนก็เบื่อ บางที่คนรวยมีปัญหามากก็เบื่อ เมื่อเบื่อหน่าย ภาวะที่จะเกิดโดยลำดับต่อไปคือ เราก็จะรู้สึกอึดอัดไม่สบาย อยากให้เรื่องน่าเบื่อ สิ่งน่าเบื่อเหล่านั้นมันหมดๆไปซะ พยายามขจัดมันออกไป ที่เราเคยรู้สึกอยากเกิด ชอบ อยากจะเป็นอย่างนั้น พอรู้ว่าเป็นอย่างนั้นแล้วจะต้องได้รับความทุกข์มากแสนสาหัส แล้วเรามาชอบมันอยู่ทำไม อยากได้ทำไม
ก็ไม่ชอบ ภพหน้าที่เราจะเป็น จะเป็นทำไม มันน่าไม่ชอบมากมากขึ้น จนกระทั่งเกิดความรังเกียจภพใหม่นั้น(วิราคะ)
เมื่ออาการนี้เกิดขึ้นก็จะเกิดปฏิกิริยาอย่างหนึ่งคือ อยากจะไปให้พ้น
คือไม่อยากเป็นอย่างนั้น ปฏิกิริยาที่ว่านี้ มันเหมือนย้อนทาง สวนทาง เช่น คนอื่นอยากเป็น
เราไม่อยากเป็น เมื่อมันเกิดอาการอย่างนี้
เราจะมองว่าอะไรหล่ะที่เป็นที่หมายที่น่าสนใจ ในที่สุดพยว่าที่หมายที่น่าสนใจก็คือความสงบนั่นแหละ
ความที่มันไม่ต้องเป็นอะไรนั่นแหละดีสุด มันหมดไปนั่นแหละดี
มันไม่เป็นอะไรนั่นแหละดี เราก็จะคิดปรุงไปทางนั้น จิตมันจะแล่นไปเอง
อาการที่จิตมันน้อมไปทางนั้น มันก็หาเหตุผลของมันน่ะว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น
เพราะอาศัยเหตุ มันจะหมดไปก็เพราะหมดเหตุ สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นเพราะเหตุ สิ่งเหล่านั้นจะดับไปเหตุดับ
แล้วก็รู้ว่าถ้าจะดับ ก็ต้องดับเหตุนี้แหละ ในที่สุดก็จะตัดสินใจว่าไม่เอาแล้ว
เกิดการตัดสินใจเหมือนศาลตัดสินคดี เหมือนเราตัดสินโทษใครบางคน เราตัดสินโทษของสิ่งนั้น
เราตัดสินโทษของการเกิดเป็น...อย่างนั้น ว่ามันไม่ดีอย่างมาก ควรทิ้ง ควรจัดการทำลายทิ้ง
เราก็ตัดสินใจไม่เอา ขณะที่จิตมันตัดสิ้นเยื่อใยนั้น เขาเรียกว่า อาลยสมุคฆาโต
ตอนที่เรารู้ว่าอันนี้ตัดสินแล้วจิตแล่นหลุดพ้นไป เขาเรียกขณะนั้นว่ามัคคจิต จิตพ้นจากการเกิดใหม่แล้วจะรู้สึกโล่ง
รู้สึกสบายใจ เมื่อไม่ต้องเกิดแล้ว (ตรงกับคำว่า ขีณาชาติ) จิตก็จะเกิดรู้ว่า ไม่เกิดแล้ว
ความอยากเกิดของเราหมดสิ้นไป ความยินดีในภพต่างๆที่มันมีอยู่ในจิตมันสิ้นไปแล้ว
อาสวะสิ้นไปแล้ว อาการอย่างนี้แหละ เขาเรียกความดับทุกข์
เมื่อความดับทุกข์เราหมายถึงนิพพาน ก็จะชื่อว่า บรรลุนิพพานนั่นเอง
มันก็ไม่มีอะไรหรอก เป็นเรื่องไม่ยากใช่ไหมหล่ะ แค่นี้เอง นิพพานจริงๆ แปลว่า
ไม่มีเครื่องผูก พันธะระหว่างผู้เกิดแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
มันจะหมดไปเพราะผู้ใดที่ไม่เกิดแล้วนั้น ผู้นั้นชื่อว่าหมดไปแล้ว ไม่มีแล้ว
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความลำบาก ความทุกข์ต่างๆก็พลอยหมดสิ้นไปด้วยกัน
จึงชื่อว่านิพพานนั่นเอง ก็ขอให้ทุกคนนิพพาน


ความคิดเห็น