วันนี้เรามาคุยเรื่อง นิพพานแบบง่ายๆ
และก็ดูอาการของนิพพานไปด้วยในตัว คือนิพพานที่ว่านี้ ทำความเข้าใจกับความหมายของมันให้ถูกต้องเสียก่อน
จากสติปัญญาที่เรามี ที่เรารู้ๆกันเบื้องต้นก็คือ พระพุทธเจ้าทรงแสงอริยสัจ 4
ในอริยสัจ 4 ท่านบอกว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ เป็นต้น แล้วก็บอกว่า
เหตุให้เกิดทุกข์คือสมุทัย ได้แก่ ตัณหาใดที่ทำให้เกิดใหม่ จะเป็นกามตัณหา ภวตัณหา
หรือวิภวตัณหาก็ตาม ล้วนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สรุปตรงนี้เป็นว่าความอยากเกิด
ความอยากเกิดในภพใหม่ ในปุณณมสูตรท่านบอกว่า อุปทานขันธ์ 5 ที่ว่าอุปทานขันธ์ 5
ท่านพูดถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันใด ที่ต้องการจะเกิด
จะเป็นใหม่ในอนาคต คือหลังจากตาย เมื่อเป็นเช่นนี้หมายความว่า อุปทานขันธ์ 5 ก็คือ
ภพใหม่ที่จะเป็น ซึ่งเราอยากจะเป็น ตั้งไว้เป็นอาสวะ อันนี้ต้องละ
เมื่อละความอยากเกิด อยากเป็นตรงนั้นได้ ก็จะเป็นทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธอริยสัจก็คือ
ความที่ ความอยากเกิดในภพใหม่ อยากจะเป็นอะไรในภพใหม่ มันมันไปสิ้นไป มรรคมีองค์ประกอบทั้งหมด
8 ประการ ที่เราเรียกกันว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็คือวิธีการทำให้ความเกิดหมดไป
หรือทำให้ความอยากเกิดหมดไป หรือทำให้ความดับทุกข์ปรากฏชัด ก็แค่นั้น
ทีนี้ตรงที่เรารู้อย่างเนี่ย เราก็ตั้งเป้าไปที่กระบวนการ ดำเนินการ อาการที่จิตมันจะละความอยากเกิด
ที่ไม่ต้องทำให้เกิดชาติหน้า มันจะเป็นอย่างไร เราก็ไปดูซิว่า ความอยากเกิด
เราจะเกิดเป็นอะไร ความอยากเกิดที่เราตั้งไว้ ต้องไปตั้งว่ามันจะเกิดเป็นอะไร
ภพภูมิที่เราจะเป็นข้างหน้าคืออะไรหล่ะ เป็นมนุษย์ หรือว่าเป็นเทวดา หรือเป็นอะไรอื่นๆ
จริงๆตรงนั้น ถ้าเรียกว่า อุปาทานขันธ์ ก็ได้ เรียกว่า นามรูป
อะไรแบบอภิธรรมก็ว่าได้ ไอที่เป็นเนี่ยชื่ออะไร จำแนก แบ่งให้ถูก แล้วก็ดูสิว่า
ไอที่เราจะเป็น ภพที่เราจะเป็น ภาวะที่เราจะเป็นเนี่ย มันคืออะไร มันเกิดได้อย่างไร
แล้วมันจะอยู่ต่อไปอย่างไร ถ้ามันเกิดเป็นสมมุติเป็นมนุษย์ เราจะอยู่อย่างไรต่อไป
จะอยู่แบบดีๆ ร้ายๆ หรืออย่างไร ก็ดูที่ว่ามันอาศัยปัจจัยอะไรเป็นเครื่องอาศัยต่างๆ
แล้วก็สร้างสมทำถ้าจะไปเกิด นี้ถ้าจะเกิดก็ต้องทำความเข้าใจกับมันให้ชัดว่า
ภาวะที่จะเกิดจะเป็นนั้น มันเป็นอย่างไร โดยสภาพรวมๆ จริงๆแล้วมันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นแหละ
ว่ามันเกิดเพราะเหตุใด แปรปรวนไปอย่างไร ดับไปอย่างไร อะไรก็ รู้ไปตามนั้น ตามจริง
เหมือนกับเราเป็นอยู่ทุกวันนี้แหละ เอาหล่ะ เมื่อเราตั้งใจว่าจะเกิดเป็นอย่างนั้นแล้ว
มาดูว่า ถ้าเกิดแล้วจะตายไปไหม จะหมดไปไหม จะสิ้นไปไหม อันนี้เราก็จะรู้เอง
รู้ตามจริงที่เราเห็นๆนี้แหละว่า เกิดแล้วก็ต้องเสื่อมไป ต้องสิ้นไป
ถ้าเราเห็นว่าเกิดแล้วเสื่อมไปสิ้นไป หมดไป คือต้องตาย เมื่อมันเห็นว่าต้องตาย
หลังจากที่เกิดเราก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำอะไรต่อไป ถ้าดูว่า เกิดมาก็ต้องตายเราจะทำอย่างไรสุดท้ายมันก็ต้องตาย
มันต้องแตกทำลายแน่นอน ขันธ์อันนี้หน่ะ เมื่อต้องแตกทำลาย เราก็จะรู้สึกเหมือนกับเราตั้งอยู่ในฐานะผู้เห็นว่า
ร่างกายจิตใจอันนั้นแหละ เป็นภัย เป็นที่ตั้งแห่งภัยที่น่ากลัว เป็นสิ่งน่ากลัว ดูแล้วก็กลัว เหมือนเรากลัวตายนั่นแหละ
เมื่อเราเห็นว่าเป็นสิ่งน่ากลัว มันก็จะเกิดความรู้สึกอันหนึ่ง
เกิดความรู้อันหนึ่งว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเป็นอย่างนี้ มันทำให้เราไม่ได้อะไรนอกจากความทุกข์
นอกจากความกลัว ถ้าต้องเวียนเกิดอย่างนี้เรื่อยๆก็เป็นทุกข์ เป็นสิ่งน่ากลัว
เมื่อมันเป็นทุกข์เป็นสิ่งน่ากลัวอย่างนี้ เป็นสิ่งไม่มีประโยชน์อย่างนี้เราก็จะเบื่อ
อาการที่จิตมันเบื่อ เหมือนกับเบื่ออะไรสักอย่างในสถานะการปัจจุบัน
เบื่อความเป็นอย่างนี้ คนไม่สบายก็เบื่อ คนจนก็เบื่อ บางทีคนรวยมีปัญหามากก็เบื่อ เบื่อ
อาการเบื่อเกิดขึ้น เมื่อเบื่อ สิ่งที่มันจะเกิดต่อมาโดยลำดับ เราก็จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่แบบ
เหมือนอยากให้มัน ไอปัญหาเหล่านั้นมันหมดๆไปซะ ความทุกข์เหล่านั้นมันหมดๆไปซะ พยายามขจัดมันออกไป ที่เราเคยรู้สึกอยากเกิด ชอบ
อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นผู้จัดการอะไรก็ตาม เป็นคนรวย มีเงินมากๆ
มันมองเห็นแล้ว โอโหลำบาก ถ้าทิ้งไปได้ก็น่าจะดีน่ะ ละทิ้งไอพวกนี้ไปได้ก็น่าจะดีน่ะ
แล้วเรามาชอบมันอยู่ทำไม มาอยากได้ทำไม ก็เบื่อ ภพหน้าที่เราจะเป็น จะเป็นทำไม มันน่าเบื่อ
มันน่ารังเกียจ เมื่ออาการนี้เกิดขึ้นก็จะเกิดปฏิกิริยาอย่างหนึ่งคือ
อยากจะไปให้พ้น คือไม่อยากเป็นอย่างเนี่ย ปฏิกิริยาที่ว่านี้ มันเหมือนย้อนทาง
สวนทาง เขาอยากเป็น เราไม่อยากเป็น เมื่อมันเกิดอาการอย่างนี้
เราจะมองว่าอะไรหล่ะที่เป็นที่หมายที่น่าสนใจ ตรงที่หมายที่น่าสนใจก็คือความสงบไปนั่นแหละ
ความที่มันไม่ต้องเป็นอะไรนั่นแหละดีสุด มันหมดไปนั่นแหละดี มันไม่เป็นอะไรนั่นแหละดี
มันสงบอย่างนั้นแหละดี เขาก็จะคิดปรุงไปทางนั้น จิตมันจะแล่นไปทางนั้นแหละ
อาการที่จิตมันน้อมไปทางนั้น มันก็หาเหตุผลของมันน่ะ ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น
เพราะอาศัยเหตุ มันจะหมดไปก็เพราะหมดเหตุ สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นเพราะเหตุ สิ่งนั้นแหละจะดับไปเพราะเหตุนั้นดับ
แล้วก็บอกว่าถ้าจะดับก็ต้องดับเหตุนี้แหละ ในที่สุดก็จะตัดสินใจว่าไม่เอาแล้ว
เกิดการตัดสินใจเหมือนศาลตัดสินคดี เหมือนเราตัดสินโทษใครก็ได้ ตัดสินโทษของสิ่งนั้น
เราตัดสินโทษของการเกิดเป็นอย่างนั้นน่ะ ว่ามันไม่ดีเรื่อง ควรทิ้ง
ควรจัดการทำลายทิ้ง แล้วก็ตัดสินเลย ไม่เอา ตอนที่จิตมันตัดนั้นน่ะ
เขาเรียกมรรคจิต ตอนที่เรารู้ว่า เนี่ยมันตัดสินแล้ว เขาเรียกมรรคญาณ มันตัดสินแล้วมันเป็นอะไรขึ้นมาหล่ะ
เราจะรู้สึกโล่งใจ รู้สึกสบายใจ ว่าเราไม่ต้องเกิดแล้ว พอไม่ต้องเกิดแล้วใช่ไหม
คำว่าขีณาชาติมันก็จะเกิดขึ้นมากับเรา มันรู้ อ่อ ไม่เกิดแล้ว ความอยากเกิดของเราหมดสิ้นไปแล้ว
ความยินดีในภพต่างๆที่มันมีอยู่ในจิตมันสิ้นไปแล้ว อาสวะสิ้นไปแล้ว
อาการอย่างนี้แหละ เขาเรียกความดับทุกข์
เมื่อความดับทุกข์เราหมายถึงนิพพาน ก็จะชื่อว่านิพพานนั่นเอง
ก็ไม่มีอะไรหรอก เป็นเรื่องไม่ยากใช่ไหมหล่ะ แค่นี้เอง นิพพานจริงๆ แปลว่า
ไม่มีเครื่องผูก ความเกี่ยวข้องระหว่างผู้เกิดแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย มันจะหมดสิ้นไปเพราะผู้เกิดนั้น
หมดไปแล้ว ไม่เกิดแล้ว ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความลำบากต่างๆ ทุกข์ต่างๆ ก็สิ้นไปด้วยกัน
จึงชื่อว่านิพพานนั่นเอง ก็ขอให้ทุกคนนิพพาน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น